เทศน์พระ

ไม้แก่

๘ ก.ย. ๒๕๕๓

 

ไม้แก่
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจ.. นั่งสงบฟังธรรม.. ฟังธรรมคือฟังสิ่งที่เป็นสัจจะ สิ่งที่เป็นสัจจะเอาอะไรเป็นเครื่องวัดว่าเป็นสัจจะ สัจจะ.. อริยสัจจะ เห็นไหม นี่ฟังธรรม !

ถ้าฟังธรรมนี่ เราเป็นมนุษย์นะ แล้วมีศรัทธา มีความเชื่อ มาบวชในพุทธศาสนา เป็นผู้ที่มีบุญกุศลมาก ถ้าไม่มีบุญกุศลมาก โลกนี้คือละคร

“โลกนี้คือละคร” ดูสิ ดูทางโลกเขาสิ เขาเล่นละครคนละบทคนละบาทไป แม้แต่ในบ้านเราก็เล่นบท ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ลูก หลาน ก็เป็นบทๆ หนึ่ง เป็นบทๆ หนึ่งนะ แล้วบทนั้นก็เปลี่ยนแปลงไป จากลูกจากหลานขึ้นเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นปู่เป็นย่า เป็นตาเป็นยาย แล้วก็ตายไป..

เห็นไหม ! มันเป็นบท โลกนี้คือละคร ถ้าไม่มีสติปัญญา เราไม่มีสัจธรรม เราก็ต้องอยู่กับโลกเขาไป โลกเขาเป็นบทเห็นไหม เวลาเรามาบวชพระ มีศรัทธาความเชื่อ เรามาบวชพระเห็นไหม มันก็เป็นละคร เพราะเป็นสมมุติ พระโดยสมมุติ สมมุติเพราะอะไร สมมุติธรรมวินัยนี่ไง

“ธรรมวินัย” เห็นไหม มีอาวุโส มีภันเต มีสัจธรรม มีต่างๆ มันเป็นระดับของใจ ถ้าใจนะมันอยู่ที่บทบาท.. บทบาทของแต่ละบทบาท ถ้าไม่มีสติปัญญา บทบาทมันไม่ใช่ว่าเป็นบทบาท มันว่าบทบาทเป็นความจริง.. เป็นความจริงนะ เราว่าเป็นจริงไหม เราเป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นจริงไหม

ถ้าไม่จริงทำไมมีสิทธิตามกฎหมาย ทำไมเรามีสิทธิรับมรดก ทำไมมรดกตกทอดจากพ่อแม่ ทำไมลูกได้รับล่ะ ถ้าไม่ใช่ลูกใช่หลาน มีสิทธิรับมรดกนั้นได้อย่างไร จริงไหม.. จริงตามสิทธิทางกฎหมาย จริงตามโลก.. แต่ไม่จริงตามธรรม !

เพราะจริงตามธรรม ธรรมะบอกว่า “สิ่งที่เป็นมรดกตกทอด สิ่งที่เป็นสมบัติทางโลกนั้น มันเป็นสมบัติสาธารณะ” ถ้าตระกูลนั้นไม่มีลูกมีหลาน สมบัติสิ่งนั้นต้องตกเป็นของรัฐ.. ตกเป็นของรัฐเห็นไหม กฎหมายก็ต้องเขียนไปจนได้ล่ะ นี่เพราะเรามีสติปัญญาเห็นไหม เรามีสติปัญญา เราเกิดมาในโลกนี้ โลกนี้เล่นไปตามบทบาทนั้น คำว่าบทบาทนั้นสมมุติบัญญัติ

สมมุตินะ.. ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราก็อยู่กับโลกนั้น แต่เพราะมีสติปัญญา.. เพราะมีสติ มีปัญญา มีความใคร่ครวญ มีความรู้ เราถึงเลือกมาบวชเป็นพระ เป็นนักพรต เป็นผู้ที่แสวงหา เป็นผู้ค้นคว้า จะค้นคว้าให้จิตนี้มันพ้นออกไปจากใต้อำนาจของมาร มารเป็นใคร.. มารเราไม่เห็น เราไม่เห็นว่ามารเป็นใคร

นี่เห็นไหม เราบวชมาแล้วนะ เราเป็นพระ เป็นหมู่เป็นคณะกัน เราต้องเห็นอกเห็นใจกัน เราเป็นหมู่คณะนะ ศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นชาวศากยะ เราเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราบวชมา เราเป็นคนทุกข์มาด้วยกัน เราทุกข์มาจากโลก ทุกคนทุกข์จากโลก อาบเลือด เลือดโชกมาด้วยกัน เลือดโชกด้วยความโศก ความทุกข์ ความอาลัยอาวรณ์ ความโหยหาทางใจ เราโชกเลือดมาด้วยกัน

เพราะเราโชกเลือด เราอยู่กับสังคม เราอยู่กับโลก เห็นว่าโลกนี้มันร้อนนัก เราถึงหาที่หลบ หาที่พักผ่อน หาที่หลบ หาที่หลีก แล้วหาสัจธรรม เพื่อจะเอาตัวเราพ้นออกไปจากกิเลสให้ได้

ถ้าเราจะเอาตัวเราพ้นออกไปจากกิเลสให้ได้ ทุกคนเหมือนอยู่ในโรงพยาบาล ทุกคนเหมือนคนป่วย คนไข้ ยิ่งโรงพยาบาลศรีธัญญา พวกโรงพยาบาลบ้าเห็นไหม นี่โรงพยาบาลบ้า ผู้ที่เขาควบคุมคนไข้ เวลาคนไข้ที่ควบคุมไม่ได้ เขาต้องจับนะ เขาต้องใส่เครื่องจองจำ เพื่อไม่ให้ไปทำลายคนอื่น เพราะอะไร เพราะเขาขาดสติ

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นคนทุกข์ คนยาก คนเจ็บ คนไข้ คนป่วย เพราะเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราบวชมาในพุทธศาสนา เหมือนคนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลบ้า!! เราบ้าด้วยกัน แต่บ้าคนละชนิด ฉะนั้นต้องให้อภัยกัน อะไรกระทบกระเทือนกัน อะไรสิ่งต่างๆ

คนบ้าเวลาเขาจะยับยั้ง เขาต้องใช้เจ้าหน้าที่จับนะ ของเรานี่ เรามีสติปัญญา เรามีธรรมวินัย เราเอาธรรมวินัยนี่เป็นเครื่องรัด สิ่งใดที่ขาดตกบกพร่อง สิ่งใดที่กระทบกระเทือน เราให้อภัยต่อกัน อย่าถือสา คำว่า “ถือสา” ผู้ที่ทำถ้ามีสติปัญญา ควรจะมีสติระลึกอยู่ว่า สิ่งที่ทำไปแล้วนี่มันกระเทือนคนอื่น

ถ้ากระเทือนคนอื่นนะ สิ่งใดที่เราไม่ชอบใจ สิ่งใดที่ใครทำกระเทือนใจต่อเรา เราก็ไม่ชอบใจ เราไปทำกระเทือนใจต่อคนอื่นนี่ เราเสียใจไหม เราก็ควรจะเสียใจ เรามีสติปัญญา เราไม่ควรทำสิ่งนั้น เพราะอะไร เพราะโรงพยาบาลเขามีเจ้าหน้าที่ดูแล

อันนี้เราดูแล มีครูมีอาจารย์เหมือนกัน แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านดูแลอยู่ แต่คำว่า “ดูแล” ดูแลแบบผู้ใหญ่เห็นไหม สิ่งใดจำเป็นและไม่จำเป็น

จำเป็นต้องติ ต้องว่า ต้องเตือน.. ก็ต้องว่าต้องเตือน สิ่งใดที่ยังไม่จำเป็น ให้ระลึกรู้ด้วยตัวเอง สิ่งใดที่ระลึกรู้ด้วยตัวเอง สิ่งนั้นประเสริฐที่สุด ถ้าเราระลึกรู้ตัวเราเองเห็นไหม

สิ่งที่เราระลึกรู้ตัวเอง เราจะไม่ทำสิ่งใดเลย ถ้าสิ่งที่เราระลึกรู้ตัวเอง เราเสียใจไง ว่าเราทำผิดทำพลาด ทำกระทบกระเทือนหมู่คณะ นี่บทบาท ! บทบาททางโลกมันทุกข์มันร้อน เราจะหาที่พึ่งที่อาศัย เราจะหลบหลีกมา เราหลบหลีกมาเป็นสมณะ มาเป็นภิกษุ เป็นพระเห็นไหม เป็นพระที่เราจะเอาชนะตัวเราเอง

เราจะเอาชนะตัวเราเองนะ เวลาเราทำความสงบของใจ พุทโธ ! พุทโธ ! เราก็จะเอาชนะตัวเองด้วยสติปัญญา ถ้าจิตมันมีสติควบคุมจิตใจได้นี่ มันชนะจิต จิตมันยอมจำนน มันจะลงสู่ความสงบของมัน

แต่ถ้าจิตใจมันไม่ยอมจำนน เราตั้งสติขนาดไหน เรามีสติขนาดไหน เรามีคำบริกรรมขนาดไหน มันจะต่อต้าน มันจะดิ้นรน เห็นไหมจิตใจของเรา

เวลาหมู่คณะก็เหมือนกัน สรรพสิ่งภายนอก ทุกคนต้องแสวงหา ทุกคนต้องพยายามหาทางรอดของตัวเอง ทุกคนที่หาทางรอดของตัวเองนี่ เขาพยายามต่อสู้ เขาพยายามจะบ่มเพาะ สร้างสัจธรรมขึ้นมาในหัวใจของเขา เราไม่ควรจะกระทบกระเทือนกัน

ของแสลง.. โรคนะ ถ้ามันกินของแสลงเข้าไป จะทำให้โรคนั้นเข้มแข็งขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาต้องการความสงบสงัด เราไปทำให้เขาสะกิดใจขึ้นมานี่ มันเป็นโทษทั้งนั้นล่ะ

มันเป็นของแสลง มันไม่ควรให้คนอื่นได้กินของแสลงนั้น เพราะเราก็ไม่ชอบ เราก็ไม่ต้องการ ถ้าเรามีจิตใจ เรามีสติปัญญาของเรานะ เราจะดูแล เราจะรักษาของเรา

ไม้แก่.. ไม้แก่เห็นไหม เวลามันดัดมันดัดยาก เพราะมันเป็นไม้แก่ มันแก่แล้วต้องเอาไฟลน ต้องต่างๆ เพื่อดัดให้ไม้นั้นมันตรง

ไม้อ่อน.. ไม้อ่อนมันดัดง่าย เห็นไหม ความที่มันดัดง่าย จริตนิสัย..

ถ้าเราบวชแล้วเราฝึกฝน เรามีธรรมนี่ เราไม่ให้เป็นไม้แก่ ถ้าเป็นไม้แก่ขึ้นไปแล้วมันจะแก้ไขได้ยาก

แต่ถ้ามันเป็นไม้อ่อน ดูสิ ไม้อ่อน เขาจะดัด เขาต้องการสิ่งใด นี่ไม้ดัดเห็นไหม เขาดัดของเขาตั้งแต่ไม้อ่อนๆ เขาเอาลวดดัดไว้ เพื่อให้มันเลื้อยไปตามลวดนั้น เขาต้องการให้มันเป็นไปตามสิ่งที่เราขึ้นรูปไว้

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็มีสติปัญญาอยู่แล้ว เราก็ต้องการสิ่งนั้นอยู่แล้ว เราอย่าทำให้เราเป็นไม้แก่ เราต้องทำให้เราเป็นไม้อ่อน เราต้องเลือกแยกแยะ ถ้าเป็นทิฏฐิมานะ มันมีทิฏฐิ มันความฝังใจ มันเหมือนไม้แก่ ทิฏฐิเอาชนะคะคาน มันไม่ยอมฟังใคร สิ่งนั้นมันไม่เป็นประโยชน์สิ่งใดๆ เลย

แต่เป็นไม้อ่อนนะ มันดัดได้ มันไม่มีสิ่งใดทำให้มันเสียหายได้ มันอ่อน มันเป็นไปได้ มันพลิ้ว มันไปได้ทุกอย่างเลย..

จิตใจของเราก็เหมือนกัน จิตใจของเราเห็นไหม ดูสิ เวลาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุที่บวชเมื่อแก่ บวชเมื่อแก่เพราะอะไร เพราะผู้มีราตรียืนนาน เพราะมันได้สั่งสมประสบการณ์ในจิตนั้นมา

แต่นั้นเป็นความเข้าใจของเขานะ เขามีความเข้าใจของเขาว่า เขามีความรู้ต่างๆ เกิดทิฏฐิมานะขึ้นมา ด้วยความรู้ความเห็นของเขา เขาคิดว่าเขารู้ของเขา แต่นั่นนะ เขาโง่มาก ! เขาโง่เพราะอะไร.. เขาโง่เพราะตัวเขาเอง

เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ดูสิ บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติ พุทธวิสัย ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย นั่นนะ ไม้อ่อน.. ไม่แก่.. มันอยู่ที่นั่น ! บารมีธรรมมันอยู่ที่นั่น !

ถ้าบารมีธรรมเห็นไหม ดูสิ มันไม่ใช่เกิดมาชาตินี้ แล้วเรามีการศึกษา เรามีวุฒิภาวะ เรามีประสบการณ์ของจิตว่าเรามีความรู้มากนั้นหรอก ความรู้มาก.. ยิ่งมากเท่าไรมันเป็นมากของวิชาชีพ มันไม่มากของธรรมเลย มันเป็นมากสิ่งที่เอามาทับถมหัวใจน่ะ

สิ่งที่มันเป็นทางวิชาการที่ศึกษาเป็นวิชาชีพน่ะ ดูสิ ดูเวลาเขาทำงานทางวิชาชีพนะ เขามีวิชาชีพสิ่งใด ถ้าเขาทำวิชาชีพของเขา เขาเป็นประโยชน์กับเขา ถ้าไม่ใช่วิชาชีพของเขา เอามาใช้ใคร่ครวญในหน้าที่การงานของเขา จะไม่เป็นประโยชน์สิ่งใดเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นพระ เราเป็นนักพรต เราเป็นนักบวช เราต้องการ “ความมั่นคงของใจ” เราต้องการให้ใจของเรามันมั่นคงขึ้นมานี่.. สิ่งนี้ที่มีสติปัญญา

มีสติระลึกรู้พุทโธ ! พุทโธ ! นี่สุดยอดแล้ว !! สิ่งอื่นนี่มันกวนใจทั้งนั้นน่ะ มันทำให้ใจวอกแวกวอแว มันทำให้ใจนี้ฟุ้งซ่านออกไป มันจะไม่เป็นประโยชน์อะไรกับหัวใจนี้เลย..

พุทโธ ! พุทโธ ! พุทโธ ! พุทธานุสตินี่ เท่านั้นแหละ ! นี่ถ้ามันมีสิ่งนี้ได้ สิ่งที่อยู่กับสิ่งนี้ได้เพราะเหตุใด สิ่งนี้ได้เพราะอะไร เพราะบารมีธรรมแก่กล้า ไม่ใช่ไม้แก่ มันธรรมแก่กล้ามา

พุทธวิสัยที่สร้างมา.. สิ่งที่เขาสร้างสมมา บุญญาธิการของเขา นั่นน่ะมันสร้างสมมาขนาดไหน มันทำให้มีเชาว์ปัญญา มันทำให้หัวใจนี้มั่นคงขึ้นมา มันทำให้หัวใจนี้ไม่วอกแวกวอแว ไม่คอยดูใคร ไม่เพ่งเล็งใคร ไม่จับผิดใคร มันเป็นเรื่องของเขา.. ไม่ใช่เรื่องของเรา

“เรื่องของเรา คือ หัวใจของเรา” มันไม่ส่งออกไปข้างนอกเลย นี่ไง ไม่ใช่ว่า โอ้โฮ.. มันมีความรู้มาก ศึกษามามากแล้วเทียบเคียงไป นี่มันเที่ยวเอาไม้บรรทัดไปวัดคนนู้น คนนี้ แต่หัวใจมันไม่ได้วัดเลยนี่ มันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ..

ถ้ามันเป็นประโยชน์กับตัวเราเองเห็นไหม ดูสิ มันมีสติปัญญาในหัวใจของเรา นี่ “อัตตหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” แต่ตนมีสติปัญญาระลึกถึงตัวเองได้เห็นไหม สิ่งนี้ประเสริฐที่สุด..

ไม่ใช่ว่าครูบาอาจารย์คอยเอ็ดคอยว่านี่ มันก็ยังว่า “จริงหรือเปล่า ! จริงหรือเปล่า !” ยิ่งหมู่คณะพูดเตือนกันยิ่งรับไม่ได้เลย

นี่ไง แล้วถ้ามันมีสติปัญญาระลึกรู้ด้วยตัวเองนี่ สุดยอดจริงๆ ! สุดยอดจริงๆ ! เพราะมันไม่มีพิษไม่มีภัย เอ่อ.. เราผิด พอเอ่อ..เราผิดนี่ อื่อ.. มัน แหม ! แหม ! เราผิดนะ..

นี่แต่ถ้าคนบอกเราผิด.. ไม่มีทาง ! ไอ้นี่มันจับผิดเรา.. มันต่อต้านทันที มันหาเหตุผลโต้แย้งทันที นี่ไง มันไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย

แต่ถ้ามันระลึกรู้ นี่บารมีนี่สำคัญมาก ระลึกรู้สึกตัวเองนี่ สุดยอดเลย ถ้าเราระลึกรู้ถึงตัวเอง มีสติปัญญานี่ เราจะไม่ทำสิ่งใดผิดพลาดมาให้กับหัวใจเราเลย

ถ้าหัวใจของเราเห็นไหม นี่สิ่งที่ว่าไม้แก่.. ไม้แก่.. บารมีธรรมที่ว่าเราสร้างสมมา ถ้าบารมีธรรมสิ่งที่เราสร้างสมมามันอ่อนแอ มันไม่มีหลักมีเกณฑ์ของมัน เราก็ต้องฝึกฝนเอาตอนนี้

ฝึกฝนตอนนี้ ตั้งสติปัญญาขึ้นมา ตั้งหัวใจเราขึ้นมา นี่สติปัญญาเราตั้งขึ้นมา แล้วเรากำหนดพุทโธ ! พุทโธ ! พุทโธ ! ไป ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เรารู้ด้วยความจริงขึ้นมา ไม่ต้องไปวิตก วิจาร ใช้ปัญญาออกไป

วิตก วิจาร.. ใช้ปัญญาออกไปนี่ มันไม่ใช่กาล ไม่ใช่เวลา ปัญญาที่ว่าจะเกิดขึ้นนี่ ปัญญาเกิดจากการภาวนา เกิดจากจิตสงบที่มันจะรู้เอง เห็นเองขึ้นมานี่ โอ๊ย ! มันซาบซึ้งใจมาก

ปัญญาที่รู้จริงเห็นจริงนี่ จะไม่คัดค้านกับพระไตรปิฎกเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว แม้แต่เล็กน้อย พระไตรปิฎกนี่ถูกต้องหมดเลย ถ้าจิตใจเราเป็นธรรม แล้วมันจะเห็นตรงกันไปหมดเลย

แต่ถ้าจิตใจเราไม่เป็นธรรมสิ มันแซงหน้าแซงหลัง มันคิดล่วงหน้าไป และคิดไม่ถึงพระไตรปิฎก อ่านพระไตรปิฎกไป อ่านธรรมของพระพุทธเจ้าไป อื่อ.. มันจะจริงได้อย่างไร มันจะเป็นไปได้อย่างไร คนทำอย่างนี้จะมีได้ที่ไหน.. มันคิดโต้แย้งไปหมดเลย

แล้วถ้าพอมันคิดเลยไปแล้วก็ ไม่มี ! ไม่จริง ! ไม่เป็นไป ! พระไตรปิฎกเขียนมานี่ ดูสิ พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ๑๐๐ ปี ถึงได้สังคายนาครั้งแรก สังคายนาครั้งที่ ๓ ถึงได้มีพระไตรปิฎก นี่มันจะหาข้อโต้แย้งมา ว่าพระไตรปิฎกนี้เชื่อถือไม่ได้ทั้งนั้นเลย

ถ้าหัวใจมันแซงหน้าแซงหลังนะ แซงไปข้างหน้า แล้วก็ย้อนไปข้างหลัง ว่าเป็นไปไม่ได้ นี่มันไม่เป็นความเป็นจริงเลย นี่ศึกษาแล้ว.. ยิ่งศึกษายิ่งงง..

แต่ถ้าพุทโธ ! พุทโธ ! พุทโธ ! ถ้าจิตมันสงบเข้ามา เผลอๆ จิตใจมันมีกำลังขึ้นมา จิตใจมันเป็นธรรมขึ้นมา เวลามันมีความเห็นอะไรขึ้นมานี่ มันอื้อฮือ ! ทำไมมันซึ้งใจ ! เห็นไหม

เวลาครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงอยู่ที่ใจ นี่พระธรรม สัจธรรม ความจริงมันเกิดขึ้นมาจากใจ

พอสัจธรรมมันเกิดขึ้นมาจากใจแล้ว มันซาบซึ้งใจ.. มันซาบซึ้งใจ.. นี่มันซาบซึ้งใจเพราะความเป็นจริงเห็นไหม นี่บารมีมันอยู่ที่นี่ ไม้แก่.. มันแก่ด้วยอำนาจวาสนาบารมีธรรม มันไม่ใช่แก่เพราะประสบการณ์

ประสบการณ์ความรับรู้ทางวิทยาศาสตร์ การศึกษานี่ ประสบการณ์อย่างนี้ ไม่แก่อย่างนี้เห็นไหม ไม้แก่นี้มันไม้ใกล้ฝั่ง ไม้ใกล้ฝั่งมันจะล้มลงสู่แม่น้ำ มันจะล้มลงสู่กระแสน้ำ มันจะพัดพาไป มันจะตายเปล่าไง มันจะตายเปล่าๆ !! มันจะไม่มีอะไรติดหัวใจมันไป !

แต่ถ้ามันมีสัจธรรมขึ้นมา มันมีความจริงขึ้นมา มันจะมีสัจธรรม มันจะมีความตกผลึกในใจ ใจจะมีหลักมีเกณฑ์ ถ้าใจมีหลักมีเกณฑ์ความเป็นจริงขึ้นมาจากหัวใจ ถ้าหัวใจมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาเห็นไหม เวลาตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ที่ไหน เวลาความรู้สึกๆ ที่ไหน.. มันรู้สึกที่หัวใจ ถ้าหัวใจมันรู้สึกขึ้นมา

นี่เราเป็นนักพรตนะ เราเป็นนักบวช เราเป็นนักต่อสู้นะ นี่สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานี่ ปัจจัยเครื่องอาศัยมันต้องมีเป็นธรรมดา ไม่อย่างนั้นมันจะมีธรรมวินัยไว้ทำไม

ธรรมวินัยก็มีไว้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย นี่สิ่งที่เราอยู่อาศัยกัน สิ่งที่อาศัย คำว่า “อาศัย” ดูสิ มันน่าสังเวช สังเวชที่ว่า ดูชีวิตเรานี่เห็นไหม เราดูแลรักษาทั้งชีวิตเราเลย เราตายไป ผู้ที่ดูแลรักษาต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร มันเป็นสมบัติสาธารณะ

แต่ในเมื่อเป็นกาลเป็นเวลา เขาเรียกว่า “ยุคสมัย” ถ้ายุคสมัยของเรา เราเป็นผู้ที่ดูแลรักษาอยู่ เราก็ดูแลรักษาสุดความสามารถของเรา เพราะเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ธรรมและวินัยนี้ เป็นศาสดาของเธอ”

คำสั่งคำสอน คำบอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราดูแลรักษาสิ่งที่เราใช้สอยอยู่นี่ ดูแลธรรมและวินัยนี่ เพราะเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำเพราะเราเชื่อถือ เราทำตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สั่งสอนไว้ เราทำตามสั่งสอนเห็นไหม

ดูสิ นี่เวลาเราฟัง สิ่งที่คนเตือน ถ้าเตือนมาเราไม่เชื่อไม่ฟัง ไม่มีคนเตือนมา แต่เขาบอกมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม แล้วเราเชื่อถือ เราทำตามนั้นเห็นไหม นี่ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นข้อวัตรปฏิบัติ ที่เราศึกษาเราปฏิบัติกันนี่ เพราะเราทำด้วยความเคารพ เราทำด้วยความเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยยุคสมัยของเรา เราทำความดีของเรา

นี่พูดถึงว่ากิจของสงฆ์ กิจของเรา กิจของการกระทำของเรา กิจของเราเห็นไหม ใช่ ! “ความเป็นจริงกิจของเราก็คือการนั่งสมาธิภาวนา.. เพื่อความผ่องแผ้วของใจ” ศากยบุตรพุทธชิโนรส มันจะเกิดศาสนทายาทในหัวใจของเรา

ถ้าหัวใจของเรามันเกิด “สัจธรรม” ขึ้นมา ศากยบุตรมันเกิดที่นี่ แต่คนเราเห็นไหม ดูสิ เวลาคนเราต้องการออกซิเจน คนเราต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิตของเขา

พระก็เหมือนกัน.. พระนี่ก็เกิดมาจากคน ในเมื่อคนเห็นไหม ดูสิ ความเป็นอยู่ของบ้าน บ้านเขาอยู่กันเขาต้องมีสัมมาอาชีวะ เขาเลี้ยงชีพด้วยความเป็นอยู่ของเขา ด้วยอาชีพของเขา

เราเป็นสมณะ เราเป็นภิกษุ เราอยู่ในอาวาส อาราม เราก็มีข้อวัตรปฏิบัติ คือจะบอกว่าคนเหมือนกันไง.. คนเหมือนกัน.. สิ่งมีชีวิตเหมือนกัน.. ปัจจัย ๔ เหมือนกัน แต่ใช้ไม่เหมือนกัน !!

อย่างหนึ่งเขาใช้ด้วยความเป็นโลกของเขา เราใช้ด้วยความเป็นธรรม เราใช้ดำรงชีวิตของเราด้วยความเป็นธรรมเห็นไหม เราก็กินอยู่หลับนอนเหมือนโลกเขานี่แหละ ความกินอยู่หลับนอนมันจะต่างจากโลกที่ไหน ก็คนเหมือนกัน กินเหมือนกัน ! ขี้เหมือนกัน !

แต่เขากินแล้วขี้ของเขา นี่กินแบบโลกๆ เห็นไหม กินเพื่อกาม เพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรีของเขา เรากิน เราอยู่ เราฉัน เพื่อดำรงชีวิตของเรา แต่ในเมื่อ “โลก” กับ “ธรรม” มันแตกต่างกัน ความเป็นอยู่ของเรา เราถึงแตกต่างกับเขา

ถ้าเราแตกต่างกับเขา เราจะต้องมีสติปัญญาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราก็ใช้ชีวิตของเรานี่แหละ มันเป็นโลก เขาอยู่เป็นโลก.. เราเป็นธรรม !

ถ้าเป็นธรรม เราเข้ามาเราต้องศึกษา ถ้าศึกษาเข้าไปแล้วมันจะซึ้งใจ ถ้ามันซึ้งใจนะ มันทำถูกต้องดีงาม

ต้นไม้ ! ต้นไม้มันก็เจริญเติบโตขึ้นมาจากกล้า จากเมล็ดพันธุ์ขึ้นมา มันก็เติบโตขึ้นมาเป็นไม้ใหญ่ขึ้นมา.. จิตใจของเรา ถ้าเราฝึกฝนของเราขึ้นมานี่ มันจะรู้ของมันขึ้นมานะ มันจะรู้เห็น มันซึมซับในธรรมวินัยขึ้นมา มันจะเคารพบูชานะ แต่ถ้าจิตใจของเรามันกระด้าง สิ่งใดก็ไม่เอาเลย

คนก็เหมือนคน.. กินถ่ายเหมือนกัน ก็จะกินถ่ายด้วยกันเหมือนกับเขา อยู่ดำรงชีวิตเหมือนกับเขา แล้วไม่ได้เหมือนกับเขา ดีกว่าเขาอีกต่างหากด้วย เพราะอะไร..

เพราะทางโลกเห็นไหม ทุกคนเขาปรารถนาขึ้นมานี่ ในสังคม ในวัฒนธรรมประเพณี ชาวพุทธเขาอยากทำบุญกุศล อยากได้บุญกุศล อยากได้ความสุขสบายของเขา อยากได้มรรคผลนิพพานของเขา เขาก็แสวงหาของเขา มีสิ่งใดก็จะถวายพระ

พระของเรานี่ เป็นนักรบ นักปฏิบัติขึ้นมานี่เห็นไหม ถ้าเรามีสติปัญญาของเราเห็นไหม มักน้อยสันโดษ สิ่งใดเป็นบุญกุศลของเขา.. บุญกุศลของเขานะ เมตตาเขา เมตตาเราด้วย ถ้าเมตตาแต่เขาทุกอย่างก็เป็นประโยชน์กับเขา เราก็รับภาระสิ่งต่างๆ ขึ้นไป แล้วเวลากินอิ่มนอนอุ่นขึ้นไป แล้วกิเลสมันก็ตัวโตๆ ขึ้นมา แล้วมันเป็นประโยชน์อะไรล่ะ

ในเมื่อกินแล้วมันเป็นกิเลสขึ้นมานี่ เขาทำบุญกุศลขึ้นมา ก็เพื่อบุญกุศลของเขา เราใช้ปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อประโยชน์กับธรรม เพื่อไปขัดเกลากิเลส แต่ใช้สิ่งใดปฏิบัติขึ้นมา มันกับไปสะสมกิเลส มันสมความปรารถนา สมความตั้งใจจริงของโลกเขาหรือเปล่าล่ะ โลกเขาก็ต้องการเพื่อดำรงพุทธศาสนา เพื่อความเป็นธรรม

ไอ้เราเป็นพระเห็นไหม นี่คนเหมือนกันไง คนๆ หนึ่งเขาเป็นคฤหัสถ์ ฆราวาสของเขา เขาต้องการบุญกุศลของเขา เราก็เป็นคน พระก็มาจากคน ถ้าพระมาจากคนเห็นไหม นี่มีครูมีอาจารย์ถือนิสัย

ถ้านิสัย..ครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร นี่ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านก็อยู่ป่าอยู่เขาของท่าน ท่านจะใช้อย่างใด มักน้อยสันโดษเห็นไหม มีสิ่งใดก็เจือจานกันในหมู่ในคณะของเรา

หลวงปู่มั่น ท่านอยู่ป่าอยู่เขา ทุกคนไปอยู่กับท่านเห็นไหม อยู่ป่าอยู่เขาด้วยความหลบความหลีกนี่ ใครเขาจะมีสิ่งใดมาช่วยเหลือเกื้อกูลล่ะ สิ่งต่างๆ เราก็ต้องดูแลกันเอง หลวงปู่มั่นท่านมีอะไร ท่านก็เจือจานกับลูกศิษย์ลูกหาของท่าน ท่านดูแลของท่านเห็นไหม ดูแลเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย

แต่จริงๆ ท่านดูแลเรื่องหัวใจไง หัวใจถ้ามันเข้มแข็ง !! หัวใจถ้ามันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมานี่ มันต้องการสัจธรรมขึ้นมา สิ่งใดไม่มีอะไรมีคุณค่าเลย..

ในเมื่อหัวใจมีคุณค่านะ นี่ปัจจัยเครื่องอาศัยมันจะปะมันจะชุนขนาดไหน มันจะเศร้าหมอง มันจะชำรุด ก็ซ่อมแซมเอา.. ซ่อมแซมเพื่อดำรงชีวิต

ดูสิ รถเขาจะไปได้เห็นไหม ดูสิ เขารักษากันไป มันชำรุดเก่าแก่ขนาดไหน เขาก็ปะ เขาก็ชุน เขาก็ดูแลรักษา รถมันก็เข็นของมันไปได้

ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ถ้ามันมีความพอใจ มันมีเป้าหมาย มีความจะหลุดพ้นจากกิเลสเห็นไหม มันก็มีเป้าหมายของมัน เพื่อจะเป็นไปเห็นไหม มันเกื้อกูลกันนะ มันอาลัยอาวรณ์ต่อกัน มันช่วยเหลือเจือจานกัน

ใครเจ็บไข้ได้ป่วย ใครมีปมด้อย ใครมีปมเด่น สู้สิ่งใดไม่ได้ เราจะช่วยเหลือกัน เราจะเจือจุนกัน เราจะดูแลกัน นี่ศากยบุตรพุทธชิโนรส !! ไม่ใช่เข้ามาแล้วมาขัดแย้งกัน เข้ามาแล้วจะคอยขัดแย้งกันในหมู่คณะ

ในหมู่คณะนะ มันไม่มีสิ่งที่ว่าเราจะไม่มีอะไรสมความปรารถนา คนเรานะสร้างบุญสร้างกรรมมาแตกต่างหลากหลาย จะให้ทุกคนมีความรู้ความเห็นมุมมองเดียวกับเรานี่ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีในโลก.. มันเป็นสิ่งที่ไม่มี.. สิ่งที่ไม่มีนี่เป็นนามธรรมนะ ความรู้สึกนึกคิดของคนน่ะ มันเป็นนามธรรมในหัวใจ มันไม่ใช่วัตถุที่จับต้องได้

สิ่งที่เป็นนามธรรมนี่ มันคิดได้ร้อยแปดพันเก้า ถ้าไม่มีศีล ไม่มีธรรมครอบคลุมในหัวใจ ไม่มีกติกาที่ดูแล มันจะดิ้นรนไปสุดฤทธิ์สุดเดชมันเลย ฉะนั้น เรามีศีลมีธรรมมาควบคุมเห็นไหม ความที่ไม่มีสิ่งใดที่สมความปรารถนา ไม่มีสิ่งใดที่สมความที่เราต้องการ ฉะนั้น เราต้องดัดแปลง เราต้องแก้ไข

ไม้อ่อน..ไม้อ่อนเห็นไหม ผู้บวชใหม่ ผู้ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านผ่านโลก.. ผ่านโลกในชีวิตสมณะนะ ไม่ใช่ผ่านโลกแบบโลก ผ่านโลกแบบโลกนี่ มัน.. โลกมันเจริญตลอดเวลา เดี๋ยวนี้นะ อาหารเขาสั่งถึงบ้านหมดเลย ส่งถึงบ้านทั้งนั้น นี่ถ้าเอาแบบโลกมันสะดวกสบายกว่านี้เยอะนัก นี่แบบโลก

แต่นี่เราเป็นสมณะเห็นไหม เราอยู่เป็นสมณะ “แบบโลก” คือแบบสิ่งที่ดำรงชีวิตเดี๋ยวนี้ เพราะนี้แบบโลก แบบโลกคือข้อวัตรปฏิบัติที่เราเห็นกันอยู่นี่ล่ะ

แบบธรรม ! แบบธรรมหัวใจที่มันเสียสละ หัวใจที่เป็นสาธารณะ หัวใจที่มันคิดถึงคนอื่นก่อนไง คิดถึงความเป็นไป คิดถึงในหมู่คณะว่ามันจะเกื้อกูลต่อกัน สิ่งที่เกื้อกูลต่อกันเห็นไหม สิ่งนี้เป็นธรรม.. สิ่งนี้เป็นธรรม.. เพราะทุกฝ่ายเป็นผู้เสียสละ ทุกฝ่ายเป็นผู้เจือจานต่อกัน มันจะมีความขัดแย้งอะไรกัน ความขัดแย้งมันจะไม่มีต่อกัน

ความขัดแย้งมันมีต่อกัน ต่อเมื่อ “ของกู” “ของกู” “ของกู” นั่นนะ นั่นล่ะขัดแย้งกัน มันจะเป็นของใครล่ะ.. มันจะเป็นของใคร มันเป็นของสาธารณะทั้งนั้นน่ะ มันเป็นของๆ สงฆ์ เว้นไว้แต่บริขาร ๘ บริขาร ๘ น่ะใช่ เป็นของส่วนบุคคล เพราะส่วนบุคคลมันของๆ เราทั้งนั้นล่ะ เพราะธรรมวินัยบังคับไว้อย่างนั้น

ธรรมวินัยบังคับไว้เลย ว่าของส่วนตน บริขาร ๘ สิ่งที่ใช้สอยเพราะมันขาดครองมันต้องเสียสละ มันเป็นอาบัติ มันเป็นโทษ นี่การเป็นโทษมันต้องดูแลรักษาใช่ไหม แต่ของนี่เป็นสาธารณะน่ะ ของที่สาธารณะมันเจือจานกันได้ มันใช้ร่วมกันได้ นี่การใช้ร่วมกัน สิ่งที่ใช้ร่วมกัน สิ่งต่างๆ นี่มันก็มีเห็นไหม

ดูสิ ดูภิกษุชาววัชชีเห็นไหม นี่น้ำในขันน่ะ ถ้าส้วมสาธารณะ น้ำนั้นจะเหลือไว้ไม่ได้ ต้องคว่ำไว้หมด แต่ถ้าเป็นส้วมส่วนบุคคล ถ้าเราใช้แล้วน้ำเหลือในขันนั้นไม่เป็นอาบัติ

แต่ถ้าเป็นส้วมสาธารณะ ถ้าน้ำใช้แล้วไม่คว่ำขัน ขันนั้นต้องคว่ำอยู่หงายไม่ได้ หงายที่มีเศษน้ำอยู่ เศษน้ำจะมีตัวสัตว์เห็นไหม

แต่ถ้าเป็นส้วมส่วนตน ของๆ บุคคล เราเป็นคนใช้เอง เราเป็นคนจัดการเอง เพราะเราเข้าเป็นเวล่ำเวลาของเรา นี่ไง ของที่เป็นสาธารณะ.. ของที่ใช้ร่วมกัน.. ของที่ใช้ส่วนตน

นี่ก็เหมือนกัน ของที่เป็นส่วนบุคคล นี่พูดถึงปัจจัยเครื่องอาศัยนะ ถ้าปัจจัยเครื่องอาศัย เพราะมีปัจจัย มีเครื่องอาศัย เราถึงดำรงชีวิตได้ การดำรงชีวิต.. ดำรงชีวิตไว้ทำไม “ดำรงชีวิตไว้เพื่อจะประพฤติปฏิบัติ” เพื่อจะพ้นจากทุกข์ไง เพราะเราเห็น..

“โลก” เห็นไหม ดูสิ บทละครของเขา บทละครของเรานี่ เราเกิดเป็นทารกก็บทหนึ่ง เป็นวัยรุ่นก็บทหนึ่ง เป็นผู้ที่มีครอบครัวก็บทหนึ่ง เป็นพ่อเป็นแม่ก็บทหนึ่ง เป็นปู่ ย่า ตา ยาย ก็บทหนึ่ง เราคนเดียวทำไมเล่นหลายบทแท้ !!!

เราคนเดียวทำไมบทบาทมันเยอะเหลือเกิน! ทำไมบทบาทเราเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา บทบาทของคนๆ เดียวนี่..

แล้วจิตมันเป็นอย่างนี้มาตลอดนี่ แล้วนี่เราบวชมาแล้ว เราเป็นภิกษุ เรามีบทบาทใด เรามีก็มีบทบาทเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เรามีบทบาทเดียวนะ ถ้าเรามีบทบาทเดียวเห็นไหม นี่ถ้าเราต้องดัดแปลงเรา เราแก้ไขเรา เราไม่เป็นไม้แก่

ไม้แก่.. ไม้แก่มันเป็นไม้ที่ชราคร่ำคร่า มันไม่มีประโยชน์ที่จะทำการแก้ไข

เราเป็นไม้อ่อน.. เราไม่เป็นไม้แก่ ไม้อ่อนคือมีการศึกษา ไม้อ่อนคือจิตใจมันจะเปลี่ยนแปลง จิตใจมันจะแก้ไข ไม้อ่อนเห็นไหม ไม้อ่อนมันจะชูยอด

ไม้อ่อน เห็นไหม ดูสิ ดูพืชผักเห็นไหม เวลามันแตกยอดอ่อน มันแตกยอดอ่อนของมัน จิตใจของเราก็เหมือนกัน จิตใจของเรานี่ เราจะหาช่องทางจะชูยอด จะแตกหน่อ “หน่อแห่งพุทธะ” หน่อแห่งผู้รู้ หน่อแห่งการกระทำ เราต้องมีสติปัญญาของเรา เราจะมีสติปัญญาเพื่อตัวเรานะ

ตัวเราเห็นไหม เราเป็นผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ โลกเร่าร้อนอยู่นัก ดูสิ ตลาดทุนนะ เดี๋ยวขึ้นๆ ลงๆ นะ ขาขึ้นขาลง.. มันมีขาขึ้น ขาลง อยู่อย่างนั้นตลอดไป เดี๋ยวก็พุ่งขึ้นแทงสุดยอดเลย เดี๋ยวมันก็พุ่งลงดิน ไอ้ขาขึ้นก็ อู้ฮู.. มีความสุขสนุกครึกครื้นเพลินกัน มีความสุขในการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เวลาไอ้ขามันหัวตกลงมานี่ อูย..จนฆ่าตัวตายกันเห็นไหม

นี่มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ มันก็หลอกกันอยู่อย่างนั้นน่ะ ทั้งๆ เป็นความจริงนะ จริงตามสมมุตินะ มันเป็นระบบเศรษฐกิจจริงๆ นะ มันหลอกใคร.. มันก็ขึ้นจริงๆ อ่ะ เงินเป็นฟ่อนๆ เวลามันหัวปักก็จริงๆ ก็เงินออกไปจากกระเป๋าจริงๆ มันจริงตามสมมุติเห็นไหม นี่โลกมันเป็นอย่างนั้น เราก็เร่าร้อนมากับมันอยู่แล้ว

เพราะเราเห็นว่า เราก็เกิดมากับมัน เราเกิดมา.. เราไม่เกิดไม่ได้.. เพราะเรามีอวิชชา เรามีจิต มันต้องเกิด นี่ผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะมันเป็นอย่างนี้เอง ธรรมชาติเป็นอย่างนี้เอง จิตมันจะหมุนของมันไปอย่างนี้

แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนี่ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราอยู่กับโลก นี่มันร้อน.. มันร้อน.. พอมันร้อนขึ้นมานี่ เราก็หลบหลีกมา เรามาบวชเป็นพระนี่ เป็นพระมันก็ร้อน !! ร้อนเพราะว่ากิเลสมันเผาผลาญ ร้อนเพราะกิเลสมันต่อต้านมันก็ร้อน

แต่ร้อนขนาดไหนเราจะดับมัน มันไม่มีอะไรที่จะดับได้ โลกเขาร้อนขนาดไหน สิ่งที่สุดของเขาๆ ก็ทำร้ายตัวเอง ฆ่าตัวตายกัน เพื่อจะหลบความร้อน

แต่มันหลบไม่ได้หรอก เพราะมันฆ่าตัวตายไป มันไม่ได้ฆ่าจิต มันฆ่าโอกาส ฆ่ามิติ ฆ่าความเป็นมนุษย์ “แต่จิตใจมันไม่ได้ฆ่า” จิตใจมันตายไป มันหลุดออกไปมันก็ได้ภพใหม่ มันก็ได้รับทุกข์ต่อไปเห็นไหม

แต่เพราะเราร้อน เราหลบจากฆราวาสมาบวชเป็นพระ เพื่อจะต่อสู้กับเรา พอเราต่อสู้กับเรานะ ดูสิ โลกเขาอยู่กันนะ เขาก็มีอาชีพ เขาต้องมีสัมมาอาชีวะของเขา เพื่อจะหล่อเลี้ยงชีพของเขา เพื่อดำรงชีวิตของเขา

เราบวชเป็นพระ ออกบวชเป็นพระขึ้นมา หลบมาแล้วนี่ก็ต้องมีสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ต้องบิณฑบาต ต้องมีที่อยู่ที่อาศัย

ถ้าเราธุดงควัตรไป.. เราก็มีกลด มีบาตรของเรา เราก็อยู่โคนไม้ได้ ในพรรษาเราก็มีกุฏิ มีห้างร้าน มีที่อยู่ที่อาศัย ฉะนั้นก็ต้องมีการรักษา ไม่มีการรักษามันจะอยู่แบบซากศพหรือ เห็นศพมันนอนในโลงไหม.. น้ำเหลืองมันไหลย้อยหยดติ๋ง ! ติ๋ง ! ติ๋ง ! เลย

นี่ก็เหมือนกัน นอนอยู่บนร้าน อยู่บนกุฏิ ถ้าไม่ดูแลรักษามันก็ศพ โลงศพเหมือนกัน โลงศพแล้วหยดน้ำเหลืองหยดติ๋ง ! ติ๋ง ! ติ๋ง ! เลย ความสกปรกโสโครกของกุฏิวิหารไง

แต่ถ้ามันเป็นสมณะ เป็นผู้มีชีวิตเห็นไหม มันลุกขึ้นมาทำความสะอาดโลงมันเองไง มันลุกขึ้นมาทำความสะอาดกุฏิ ร้านของเขาไง นี่ในรอบของเรา กุฏิของเรา เราต้องเก็บกวาดทำความสะอาด

เรามีข้อวัตรใช่ไหม.. เราไม่ใช่วัดร้างใช่ไหม เราต้องหมั่นเช็ดหมั่นถู เราไม่ใช่ซากศพนอนให้มันน้ำเหลืองไหล เราเป็นคน เราเป็นนักรบ เราเป็นภิกษุ เรามีข้อวัตร เราก็รักษาดูแลของเรา

นี่ข้อวัตรปฏิบัติของเรานี่ เราไม่เหมือนโลก เราอยู่กับโลก ชีวิตเหมือนกัน มนุษย์เขาก็อยู่ต้องมีสัมมาอาชีวะเหมือนกัน

พระของเราก็มีสัมมาอาชีวะ นี่เรื่องของข้อวัตรปฏิบัติเพื่อจะเกิดหน่อพุทธะ ไม่ให้เป็นไม้แก่ ถ้ามันอยู่แก่ อยู่จนชราคร่ำคร่ำ มันจะว่ามันเป็นผู้เฒ่า มันรู้ไปทุกเรื่อง แล้วมันไม่ทำอะไรเลย.. มันรู้ทุกเรื่อง

แต่เรื่องหน้าที่ของตัว หน้าที่ดูแลความสะอาด ชีวิตประจำวันนี่มันยังไม่ได้ทำ เวลากินข้าวเคี้ยวทำไม เวลาเอาข้าวใส่ปากก็อมไว้สิ อย่าไปเคี้ยวมัน ดูสิ มันจะกลืนลงคอไปได้ไหม เวลาเอาข้าวใส่ปากก็เคี้ยว ! เคี้ยว ! เคี้ยว ! แล้วกลืนลงคอไป

ข้อวัตรปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ ไม่มีการกระทำนี่ จิตวิญญาณมันจะหมุนไปอย่างไร ความเป็นไปของจิตมันจะหมุนไปอย่างไร เห็นไหม จากข้างนอกนะ จากการกระทำของข้างนอก จากความเป็นไปของชีวิต การดำรงชีวิตเห็นไหม ถึงเวลามีสติปัญญา ถ้าเราอยู่กับธรรม อยู่กับวินัยได้ เราไม่ใช่วัดร้าง

คนมีข้อปฏิบัตินี่ มันจะมีสติปัญญา พอมีสติปัญญานี่ มันจะระลึกรู้ถึงชีวิตของเรา ว่าเรานี่ทุกข์มา โลกมันร้อน เกิดมาก็ทุกข์ ดูตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา ก็ชราภาพคร่ำคร่าไป มรณานุสติมันเตือนเรามาตลอด เรามาบวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา เพื่อต้องการแสวงหาทางพ้นทุกข์

ถ้าพ้นทุกข์เห็นไหม เวลาเราดำรงชีวิตของเรานะ เรามีข้อวัตรของเรา เราทำความสะอาดของเรา เราทำทุกอย่าง หน้าที่ของเรา หน้าที่ของสมณะ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของสมณะเห็นไหม ชีวิตของสมณะนะ แล้วหน้าที่ของสมณะมันจบที่ไหนล่ะ สมณะนอก.. สมณะในเห็นไหม

นี่ไม้แก่.. ไม้อ่อน.. ไม้แห่งพุทธะจะเกิด เกิดที่ไหนล่ะ เกิดบนภวาสวะ เกิดบนภพ เกิดบนความรู้สึก

ถ้าเกิดบนความรู้สึก มันมีความรู้สึกถึงชีวิต มันมีความรู้สึกของความสลดสังเวช ถึงเวลานั่งสมาธิภาวนาขึ้นมานี่ นี่ไง หน่อพุทธะนี่ ไม้น่ะ พันธุ์ไม้ พันธุ์พืช พันธุกรรมนี่ มันไม่ส่งออกไปข้างนอก มันอยู่กับข้อวัตรใช่ไหม มันอยู่กับการทำใช่ไหม มันก็ส่งเข้ามาสู่ใจใช่ไหม พอเข้ามาสู่ใจ ใจมีสติปัญญาใช่ไหม

เวลากำหนดพุทโธ ! พุทโธ ! พุทโธ ! นี่มันก็ย้อนกลับมาสู่เรา มันมีสติปัญญาขึ้นมา มันก็ตั้งเข้ามาที่จิตของเรา นี่มันจะเกิดขึ้นมา นี่หน่อพุทธะเห็นไหม.. ไม่ใช่ไม้แก่..

ไม้แก่.. ข้างนอกมันเป็นไม้น่ะ ไม้นี่นะ ดูสิ ไม้แก่ๆ นี่เวลาเขาหักๆ หมดนะ เขาต้องรนไฟนะ รนไฟแล้วค่อยๆ น้อมมานะ ให้มันตรงให้ได้ หัวใจเราน่ะ..หัวใจเราน่ะ.. ทิฏฐิมานะนะ ไม่มีใครเตือนเราได้ แต่ในเมื่อเรามีสติปัญญา เราทำข้อวัตรของเรา เราดูแลรักษาของเรา

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วแสดงธรรมวินัย วางธรรมและวินัยไว้ ให้เป็นที่เคารพศรัทธาของสังคม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สังคมรับรู้ ศีลธรรมจริยธรรมเห็นไหม ประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ

นี่เราเกิดมาท่ามกลางประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ นี่เป็นธรรม เป็นมรดกตกทอด เป็นธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดท่ามกลางธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดเป็นชาวพุทธ พบพระพุทธศาสนา แล้วออกมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ สิ่งนี้มันเป็นสังคมประเพณีวัฒนธรรม

แต่เวลาทำขึ้นมานี่ เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา มันเป็นความกระเทือนใจเรา พอใจมันกระเทือนขึ้นมานี่ มันตั้งใจของมัน มันกำหนดพุทโธ ! พุทโธ ! พุทธะจะอยู่ที่นี่ สังคมทั้งสังคมเลย

ดูสิ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เรามองสังคมมันกว้างใหญ่ไพศาลนัก แต่เราไม่เห็นจิตหรอก ! จิตที่มันเกิดตายนี่มันกว้างขวางนัก ! มันเกิดในวัฏฏะ เกิดตาย.. เกิดตาย.. ไม่มีต้นไม่มีปลาย

คนเราชีวิตหนึ่ง เวลาเกิดตาย.. เกิดตาย.. ในชีวิตหนึ่ง ซากศพมากองไว้ โลกนี้ไม่มีที่กอง นี่เรามองแต่สังคมภายนอก เราไม่มองสังคม ไม่มองหัวใจ ไม่มองจริตนิสัยพันธุกรรมที่มันได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านภพผ่านชาติ ผ่านทุกข์ผ่านยาก ผ่านการกระทำมาต่างๆ

เรากำหนดพุทโธ ! พุทโธ ! นี่เข้ามาสู่มันเห็นไหม เข้ามาสู่ต้นขั้ว เข้ามาสู่แกนของโลก เข้ามาสู่ภวาสวะ ถ้าเข้ามาสู่นี่ จิตมันสงบเข้ามา มันเห็นของมันเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามาเห็นไหม จิตมันสงบ มันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา แล้วออกใช้ปัญญา ออกใช้ปัญญาเห็นไหม

เวลาออกใช้ปัญญานี่ ปัญญามันจะแยกแยะ..แยกแยะต่างๆ ปัญญาที่เรารู้ๆ กันอยู่นี่ มันปัญญาขี้โรค ปัญญาของกิเลสอ่ะ ปัญญาขี้โรคเหมือนคนเป็นโรค คนเป็นโรคที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มีปัญญามากแต่กระดิกกระเดี้ยไม่ได้เลย มันนอนแซวอยู่บนเตียง ไปไหนไม่รอด ปัญญาเยอะ แต่ทำอะไรไม่ได้เลย หายใจแผ่ว.. แผ่ว.. กำลังจะตาย

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาที่ว่าปัญญารู้มาก ปัญญา อูย..วิชาชีพ เก่งไปหมดอ่ะ ธรรมะรู้ไปหมดอ่ะ นั่นล่ะปัญญาขี้โรค ! มันกำลังจะตาย ! หัวใจมันจะตายไง ตายจากคุณงามความดี เพราะไม่รู้สิ่งใดเลย แต่ถ้าพุทโธ ! พุทโธ ! ขึ้นมานี่ ให้หัวใจมันเข้มแข็งขึ้นมา.. หัวใจมันเข้มแข็งขึ้นมานะ..

ดูสิ เวลาคนเข้มแข็งขึ้นมา เวลาเขาเกิดปัญญาขึ้นมานี่ เขาทำอะไรสิ่งใด เขาลุกขึ้นไปทำนะ เขาแก้ไขนะ เหตุการณ์วิกฤติของโลกเขาแก้ไขได้หมดเลย เขาพาโลกไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขได้ด้วย

นี่ก็เหมือนกัน เรารักษาใจของเรา ถ้าใจของเรามันสงบร่มเย็นขึ้นมา มันเข้มแข็งขึ้นมา มันมีจุดยืนของมันขึ้นมา เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมานี่ มันไม่ใช่ปัญญาขี้โรค มันไม่ใช่ปัญญาที่จะพาไปอเวจี มันเป็นปัญญาที่จะพาพ้นออกจากทุกข์ !!

ถ้ามันเป็นปัญญาที่จะพ้นออกจากทุกข์น่ะ มันเกิดจากอะไรล่ะ.. เกิดจากเรามีสติสัมปชัญญะ เกิดจากมีสติ !! เกิดจากการรู้สึกตัวเอง !!

“อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน !!! ” กิเลสมันอยู่ในหัวใจนี้ ! เราจะละหัวใจนี้ เราจะแก้ไขหัวใจนี้ ! เราจะปกป้องหัวใจนี้ ! หัวใจของคนอื่นเรื่องของเขา !!

หัวใจของโลกมันเรื่องของสังคมของโลก ใครจะมีความรู้ความสามารถขนาดไหน มันก็เป็นเรื่องของเขา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ปรินิพพานไปแล้ว ครูบาอาจารย์ของเราก็นิพพานไปแล้ว เราจะแก้ไขตัวเราได้หรือไม่ เราจะมีความสามารถที่จะเอาตัวเราขึ้นมา มีกำลังขึ้นมาเพื่อจะแก้ไขเราได้หรือไม่..

ถ้าเราไม่มีปัญญาขึ้นมา เราไม่มีโอกาสขึ้นมา เราจะแก้ไขปัญญา เราจะแก้ไขหัวใจของเราได้อย่างใด ถ้าหัวใจเราได้อบรม ได้แก้ไขแล้วนี่ สิ่งใดบ้างที่มันจะเป็นความลับ !!

ในวัฏฏะนี้ กามภพ อรูปภพ มันมีอะไรเป็นความลับ !! ในเมื่อหัวใจมันชำแหรกหมด มันได้เคลื่อนไหวการกระทำทั้งหมดแล้ว มันมีอะไรเป็นความลับกับหัวใจดวงนี้ !!! หัวใจดวงนี้มันมีอะไรเป็นความลับกับมัน !!!

ไม่มีอะไรเป็นความลับกับมันเลย.. มันแก้ไข มันทะลุไปหมด มันแจ่มแจ้ง มันชำแหรก มันชำระออกทั้งหมดเลย มันเกิดขึ้นมาจากอะไร !! มันเกิดขึ้นมาจากความเข้มแข็งของเรา ไม่ใช่ว่าไม้แก่.. แก่จนแก้ไขอะไรไม่ได้

ไม้อ่อน.. ไม้อ่อนมันก็ไม่มีประโยชน์ ไม้อ่อนเอาไว้เป็นอาหารนะ ยอดอ่อนของไม้นี่เขาเด็ดเอามาจิ้มน้ำพริก

หัวใจของเรานี่ ถ้ามันชุ่มชวย มันอ่อน ก็ต้องมีสติปัญญา ต้องดูแล ต้องรักษา ไม้แก่..มันก็เป็นทิฏฐิมานะ ที่ไม่มีสิ่งใดจะเป็นประโยชน์กับมันเลย ไม้อ่อน..อ่อนจนเขาเด็ดไปจิ้มน้ำพริก มันก็เป็นแค่อาหารเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้น

ฉะนั้น สติปัญญาของเราเห็นไหม สติปัญญาของเรานี่ นามธรรม.. มันเป็นเรื่องนามธรรม อันนั้นเป็นรูปธรรม สิ่งเปรียบเทียบ การแสดงธรรมแสดงให้เห็นภาพ ให้เห็นการเปรียบเทียบขึ้นมาจากความรู้สึก

ถ้าความรู้สึกของเรานี่ มันจะอ่อน... อ่อน..ถ้ามันแตกหน่อขึ้นมา แล้วทะนุถนอม ทะนุถนอมด้วยสติ ด้วยปัญญา แล้วดูเทียบเคียงดูสิ ผักอ่อนเขาเอาไปกินเป็นอาหาร เขาก็ดำรงชีวิตได้

นี่ก็เหมือนกัน ไม้อ่อน.. มันจะอ่อนขนาดไหน แต่มันขึ้นรูปได้ เราต้องการปรารถนาให้เป็นสิ่งใดก็ได้

ไม้แก่.. แก่ด้วยทิฏฐิ ด้วยมานะ ด้วยความเห็น ด้วยทิฏฐิมานะของเรา มันไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย มันจะขึ้นรูปสิ่งใดก็ไม่ได้ จะมาสร้างอะไรให้เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย มีแต่กีดขวางทุกๆ อย่างไป

แต่ถ้าเป็นไม้อ่อนเห็นไหม เราทำได้ เราแก้ไขได้ เพื่อประโยชน์กับเราได้ แต่ก็ต้องมีสติปัญญาเพื่อประโยชน์กับเรานะ นี้ชีวิตของเรานะ ชีวิตนักบวช ชีวิตพระ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร จะต้องทำให้เกิดเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง